ปวดท้องประจำเดือนมาก อาจเสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง!?

ปวดท้องประจำเดือนมาก อาจเสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง!?

พอใกล้วันนั้นของเดือน นอกจากอาการ PMS และ PMDD แล้วสิ่งที่ตามมาอีกอย่างก็คือ อาการ ปวดท้องเมนส์ หรือปวดท้องประจำเดือน นอกจากจะสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว อาการปวดที่มีความรุนแรงนั้นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของร่างกายได้ด้วย!

แล้วแบบนี้จะรู้ได้ไงว่าปวดท้องเมนส์แบบไหนจึงจะเรียกว่าเป็นสัญญาณของโรคได้?ลองมา เช็กอาการ ปวดท้องประจำเดือนแบบไหนที่เรียกว่า ผิดปกติ กันค่ะ

เพราะแบบนี้ ซิสเลยจะมาบอกสาวๆ ให้รู้ถึงความแตกต่างในการแยกอาการปวดท้องเมนส์แบบปกติ และอาการที่มีความผิดปกติ ให้สาวๆ เข้าใจและสามารถสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองได้ก่อน อีกทั้งยังลดความกังวลที่ค่อยกวนใจของสาวๆ ไปด้วย เพราะงั้นเราไปดูกันเลยค่ะ

สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือน

อาการปวดท้องช่วงมีประจำเดือนโดยทั่วไปนั้นเกิดจากมดลูกมีการบีบตัวเพื่อขับเลือดเสียออกจากร่างกาย โดยสารเคมีที่ชื่อว่า “โพรสตาแกลนดิน” (Prostaglandin) ที่หลั่งออกมาจากเยื่อบุโพรงมดลูกในช่วงมีประจำเดือน ทำหน้าที่ในการกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว ลดความดดันโลหิต และควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย 

การบีบตัวของมดลูกนี้เองที่เป็นสาเหตุให้รู้สึกปวดท้องประจำเดือน ซึ่งไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนของโรคใดๆ มักจะเริ่มมีอาการปวดก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน หรือในช่วงแรกของการมีประจำเดือน 2-3 วัน

ลักษณะอาการ ปวดท้องประจำเดือนแบบทั่วไป

  • ปวดเกร็งหรือปวดบิดในท้องน้อย
  • ปวดหลังด้านล่าง
  • ปวดร้าวไปยังขาหนีบ สะโพก ต้นขา
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • เวียนศีรษะ
  • อ่อนเพลีย
  • ท้องอืด
  • ท้องเสีย
  • ปวดศีรษะ

อาการปวดท้องประจำเดือนที่มีความผิดปกติ

อาการปวดท้องประจำเดือนที่มีความผิดปกติ เรียกอีกอย่างว่า อาการปวดท้องประจำเดือนแบบทุติยภูมิ หรือปวดท้องประจำเดือนระดับรุนแรง (Secondary dysmenorrhea) เช่นระดับความปวดมีความรุนแรง และเรื้อรังมากกว่าระดับทั่วไป อาจมีสาเหตุมาจากโรคประจำตัว ความผิดปกติของร่างกายหรือมดลูก

ลักษณะอาการ ปวดท้องประจำเดือนที่มีความผิดปกติ

  • ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลานาน ปวดมากจนต้องทานยาแก้ปวดหลายชนิด 
  • อาการปวดท้องน้อยยังคงอยู่แม้จะไม่มีประจำเดือน
  • ประจำเดือนมามากหรือนานผิดปกติ
  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีตกขาวผิดปกติ
  • ปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะแสบขัด

อาการที่อาจบ่งบอกถึงโรค

  • ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงเฉียบพลัน
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • น้ำหนักลด
  • มีไข้ อ่อนเพลีย
  • ซีด
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ

ปวดท้องประจำเดือนมาก เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?

หากสาว ๆ พบว่าตัวเองลักษณะอาการที่สอดคล้องกับอาการปวดท้องประจำเดือนที่มีความผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณว่าสาว ๆ กับเสี่ยงกับโรคต่างๆ ดังนี้

1.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)

เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเกิดขึ้นที่อวัยวะอื่นๆ ภายในร่างกาย เช่น ที่รังไข่หรือเยื่อบุช่องท้องน้อย เป็นต้น ทำให้มีเลือดคลั่ง และเกิดการสะสมกลายเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต หรือ “ช็อกโกแลตซีสต์” ที่หลายคนรู้จักนั่นเอง

2.ถุงน้ำในรังไข่ (PCOS)

ถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ Polycystic Ovary Syndrome (PCOS) โดยปกติแล้วไข่ที่ไม่ได้รับการผสมแล้วจะถูกขับออกมาพร้อมรอบเดือน แต่ถ้าเกิดมีการไข่ข้างในมดลูกมากขึ้นจะส่งผลให้เกิดถุงน้ำในปริมาณมากขึ้น จนท้องบวมคล้ายมีครรภ์ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งถุงน้ำในรังไข่สามารถเจริญเติบโตเป็นซีสต์หรือมะเร็งได้อีกด้วย

3.เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids)

เกิดจากกล้ามเนื้อเรียบในมดลูก ซึ่งเนื้องอกจะมีทั้งชนิดรุนแรง และไม่รุนแรงตามอาการ ซึ่งเนื้องอกจะทำให้เกิดการบีบตัวของมดลูกมากขึ้น ทำให้รู้สึกปวดท้องมากกว่าปกตินั่นเอง

4.พังผืดในมดลูก

มักเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัด การอักเสบหรือการติดเชื้อ ทำให้ร่างกายสร้างพังผืดขึ้นมา ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดท้องน้อยอยู่บ่อยๆ อาจมีอาการท้องผูก ปัสสาวะบ่อย และอาจส่งผลทำให้มีลูกยากอีกด้วย

5.ปากมดลูกตีบ (Cervical stenosis) 

ปากมดลูกตีบ คือ ภาวะที่รูเปิดของปากมดลูกมีขนาดแคบลงผิดปกติ ส่งผลต่อการไหลของสารคัดหลั่ง ประจำเดือน และอสุจิ เพราะปากมดลูกที่ตีบ ทำให้ประจำเดือนไหลออกจาโพรงมดลูกไม่สะดวก มดลูกจะมีการบีบตัวมากกว่าปกติ ทำให้ปวดท้องประจำเดือนมาก

วิธีการดูแลอาการ ปวดประจำเดือน

  1. กินยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน
  2. ประคบร้อน เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง
  3. ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่นจากภายใน
  4. ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ที่ช่วยบรรเทาอาการปวด
  5. ใช้ยาคุมฮอร์โมนต่ำสูตร 24+4 ที่มีเม็ดยาฮอร์โมน 24 เม็ด และเม็ดแป้ง 4 เม็ด เป็นสูตรที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายคงที่ได้ดีกว่ายาคุมสูตรอื่นๆ และจะช่วยกดการทำงานของรังไข่ จึงช่วยลดปริมาณประจำเดือน รวมถึงลดการหลั่งสาร โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ทำให้ลดการบีบตัวของมดลูก ดังนั้นการใช้ยาคุมกำเนิดฮอร์โมนต่ำสูตร 24+4 จึงเป็นอีกวิธีที่ใช้รักษาอาการปวดท้องประจำเดือนได้ รวมถึงยังรักษาอาการก่อนมีประจำเดือน PMS และ PMDD ได้อีกด้วย

แต่หากอาการปวดท้องประจำเดือนมีความรุนแรงมากกว่าปกติ หรือเข้าข่ายอาการปวดท้องประจำเดือนที่มีความผิดปกติตามที่ซิสบอกสาวๆ ไว้ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และรับการรักษาโดยด่วนนะคะ

จะเห็นได้ว่าเพียงแค่ ปวดท้องประจำเดือน สามารถเป็นสัญญาณของโรคหลากหลายชนิด ผู้หญิงอย่างเราต้องหมั่นสังเกตตัวเอง และหากผิดปกติก็อย่าปล่อยไว้ไม่สนใจดูแลนะคะ

หากสาวๆ ท่านไหนยังมีข้อสงสัย หรืออยากได้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนและการคุมกำเนิด ก็สามารถปรึกษาได้ที่.. ‘PHARMASIS’ ร้านขายยาที่เข้าใจผู้หญิง ตามร้านขายยาที่อยู่ใกล้บ้านของทุกคนได้เลยค่ะ 

ค้นหาร้านขายยาที่เข้าใจผู้หญิงใกล้บ้านได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ คลิก

Scroll to Top