หนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของสาวๆ เรียกได้ว่ายิ่งกว่ามหันตภัย ก็คือปัญหาเรื่อง “สิวฮอร์โมน” ปัญหาผิวที่สาวๆ หลายคนเคยเจอกันมาแล้ว พอเริ่มใกล้จะมีประจำเดือน นอกจากอาการ PMS แล้ว ก็รู้สึกเหมือนสิวเตรียมบุกกันทั้งแก้ม ทั้งคาง แล้วไม่ได้มานิ่งๆ สิวฮอร์โมนส่วนใหญ่มักจะเป็นสิวอักเสบ ซึ่งอาจทำให้สาวๆ รู้สึกเจ็บ และแสบร้อนสุดๆ ด้วย
ซิสเข้าใจเราทุกคนเลยค่ะ พอมันขึ้นมาทีไร ก็ชวนให้หงุดหงิดได้ทุกครั้ง แต่เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราแก้กันไม่ตก และถ้าปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบให้มีปัญหาผิวในระยะยาว และผิวพังได้!
แล้วมีวิธีแก้ไหม? ซิสจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกันนะคะ ว่าสิวฮอร์โมนคืออะไร และซิสยังมี 8 วิธี จบปัญหาสิวฮอร์โมน กู้คืนหน้าใส กลับมาสวยแบบตะโกน! อีกด้วย ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันค่ะ!
สิวฮอร์โมนคืออะไร?
สิวที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศหญิงของพวกเรา หรือฮอร์โมนเพศชายที่มีชื่อว่า “แอนโดรเจน” ซึ่งเมื่อมีปริมาณมากเกินไปนั้น จะทำให้รูขุมขนบนใบหน้ากว้างขึ้น และต่อมไขมันทำงานหนักจนผลิตไขมันส่วนเกิน แถมยังช่วยให้แบคทีเรียบนใบหน้าเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้นด้วย และสิวฮอร์โมนส่วนใหญ่มักเกิดในช่วยวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ เรียกง่ายๆ ว่าวัยที่มีประจำเดือนนั้นเอง
ลักษณะของสิวฮอร์โมน
จะแตกต่างจากสิวทั่วไป เพราะจะมีลักษณะคล้ายสิวอักเสบ คือ เป็นสิวขนาดใหญ่ มีลักษณะบวม แดง และเจ็บปวดมากกว่าสิวชนิดอื่นๆ สิวจะขึ้นหนาแน่นบริเวณจมูก คาง และรอบริมฝีปาก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรูขุมขนมากกว่าที่อื่น และจุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนของสาวๆ เนื่องจากระดับฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง
นอกจากฮอร์โมนผิดปกติแล้ว สาเหตุของสิวฮอร์โมนยังมาจากหลายปัจจัยด้วย
- พันธุกรรม
- ขาดการพักผ่อน
- ความเครียด
- การกินอาหารที่มีไขมันสูง
8 วิธี จบปัญหาสิวฮอร์โมน กู้คืนหน้าใส กลับมาสวยแบบตะโกน!
1.ใช้ผลิตภัณฑ์ทาสิว
ใช้ผลิตภัณฑ์ทาสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ หรือซาลิไซลิกแอซิด ซึ่งช่วยทำให้สิวลดลง และยังช่วยลดการอักเสบของสิว ควบคุมความมันส่วนเกิน รวมถึงยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ด้วย
2.กินยาคุมกำเนิด
กินยาคุมกำเนิด ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยในการลดสิว เพราะการกินยาคุมจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ช่วยลดอาการสิวอักเสบได้ดีมากอีกด้วย
ซึ่งยาคุมที่ขอแนะนำก็คือยาคุมฮอร์โมนรวม ที่มีตัวยา “ดรอสไพรีโนน” (Drospirenone) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ลดการเกิดสิว ผิวมัน และยังมีฤทธิ์ต้านการบวมน้ำ ยาคุมลดสิวไม่อ้วน ไม่ทำให้อ้วนบวม น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น
3.หมั่นล้างหน้าด้วยสบู่ หรือโฟมล้างหน้า
ควรเลือกสบู่ หรือโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อขจัดคราบสกปรก และความมันส่วนเกินออกจากใบหน้า
4. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
อย่างผัก ผลไม้สด อาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน และวิตามินอีสูง รวมถึงดื่มน้ำเปล่าให้ได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
อย่างน้อย 6-8 ชม. ต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย และฮอร์โมนต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างสมดุลมากขึ้น
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อช่วยเผาผลาญกำจัดของเสีย และสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย ช่วยให้สุขภาพกาย ใจแข็งแรงขึ้น
7. ลดความเครียด ด้วยการฝึกสมาธิ
ความเครียด ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิวฮอร์โมนได้เหมือนกัน ฉะนั้นการออกไปทำกิจกรรมที่ชื่นชอบบ้าง เพื่อระบายความตึงเครียดที่เป็นสาเหตุของภาวะฮอร์โมนผิดปกติ หรืออาจเป็นการทำสมาธิ ก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกันค่ะ
8.กินอาหารเสริม หรือวิตามินบางชนิด
อาหารเสริม หรือวิตามินบางชนิดก็จะช่วยลดการเกิดสิว และสิวอักเสบได้
- วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี วิตามินเหล่านี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ลดการเกิดสิว ลดสิวอักเสบ และยังให้ช่วยให้หน้าใสอีกด้วย
- อัลฟาลิโพอิกแอซิด หรือ ALA ช่วยรักษาระดับวิตามินในร่างกาย และยังช่วยในการเผาผลาญอีกด้วย
ซึ่งยาคุมที่ขอแนะนำก็คือยาคุมฮอร์โมนรวม ที่มีตัวยา “ดรอสไพรีโนน” (Drospirenone) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ลดการเกิดสิว ผิวมัน และยังมีฤทธิ์ต้านการบวมน้ำ ยาคุมลดสิวไม่อ้วน ไม่ทำให้อ้วนบวม น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น
สาวๆ ทุกคนที่มีปัญหาเรื่องสิวฮอร์โมนอยู่ ซิสขอแนะนำให้สาวๆ ลองทำตามวิธีในบทความนี้ได้เลยนะคะ รับรองได้ว่าจะช่วยสาวๆ ได้แน่นอน และสุดท้ายนี้อย่าลืมใส่ใจสุขภาพของตัวเราเองด้วยนะคะ ซิสเป็นห่วงทุกคนค่ะ
และหากสาวๆ คนไหนยังมีข้อสงสัยเรื่องของสิวฮอร์โมน ก็สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนและการคุมกำเนิดได้ที่.. ‘PHARMASIS’ ร้านขายยาที่เข้าใจผู้หญิง ตามร้านขายยาที่อยู่ใกล้บ้านของทุกคนได้เลยค่ะ
ค้นหาร้านขายยาที่เข้าใจผู้หญิงใกล้บ้านได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ คลิก