โรค “ภูมิคุ้มกันเป็นพิษ” ไม่ใช่โรคใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นโรคเดิมที่มีมานานแล้ว และมีหลายคนบนโลกที่เป็น หากเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถควบคุมอาการได้ ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่หากปล่อยให้มีอาการต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลให้อาการกำเริบไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย และมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเสียชีวิตได้เช่นกัน
โรค “ภูมิคุ้มกันเป็นพิษ” คืออะไร?
โรคภูมิคุ้มกันเป็นพิษ เป็นเพียงชื่อหนึ่งของ โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หรือโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง โรคภูมิต้านตนเอง และโรคภูมิแพ้ตัวเอง คนไทยบางส่วนเรียกว่า “โรคพุ่มพวง” เพราะศิลปินลูกทุ่งในตำนานอย่าง พุ่มพวง ดวงจันทร์ เสียชีวิตด้วยโรคนี้ ส่วนภาษาอังกฤษอาจเรียกว่า โรคออโตอิมมูน (Autoimmune) หรืออาจเรียกโดยทั่วไปว่า โรคลูปัส (Lupus)
อาการของโรค
อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งทำงานผิดปกติ เช่น
- ขาแขนอ่อนแรง เดินขึ้นบันได หรือถือของไม่ไหว ยกแขนไม่ขึ้น หนังตาตก กลืนอาหารลำบาก
- ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โดยจะมีอาการใจสั่น มือสั่น เหงื่อออกง่าย หงุดหงิด กินจุแต่น้ำหนักลด
- ผื่นขึ้นตามผิวหนัง เล็บ เยื่อบุต่างๆ
- มีอาการชาปลายนิ้ว ปลายเท้า
- ผิวซีด หน้าซีด หรือเป็นจ้ำเลือด
- หูหนวกฉับพลัน
- จอประสาทตาอักเสบ ตาแห้ง ตาแดง ปวดตา
สาเหตุของโรคภูมิคุ้มกันเป็นพิษ
สาเหตุหลักของโรคภูมิคุ้มกันเป็นพิษมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำงานผิดปกติเสียเอง โดยอาจได้รับแรงกระตุ้นจากสิ่งต่างๆ เช่น
- กรรมพันธุ์
- ความเครียด พักผ่อนน้อย
- แสงแดด สำหรับคนที่มีผิวไวต่อแดด เมื่อสัมผัสแสงแดดก็ทำให้เกิดอาการต่างๆ
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- การสูบบุหรี่ และยาสูบต่างๆ
วิธีป้องกันโรคภูมิคุ้มกันเป็นพิษ
แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการป้องกันโรคนี้ได้ แต่การรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นวิธีที่จะช่วยกดอาการของโรคภูมิคุ้มกันเป็นพิษได้ ดังนั้นจึงควรยึดตามเคล็ดลับ 3 ข้อ คือ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้ รวมถึงควบคุมอาการของโรคให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
รู้อย่างนี้แล้ว เพื่อนๆ ต้องหมั่นเช็คสุขภาพตัวเองสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้รู้ความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ทันถ่วงทีนะคะ