ฮอร์โมนมีอิทธิพลกับผิวมากกว่าที่คิดนะคะสาวๆ โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิงอย่าง “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอร์โรน” หากเกิดความผิดปกติอาจส่งผลให้ผิวต้องเจอกับปัญหาสิว ฝ้า กระ รวมถึงริ้วรอย ได้นะคะ
วันนี้ PHARMASIS – ร้านยาที่เข้าใจผู้หญิง จะมาพูดถึงปัญหาผิวที่สาวๆ ต้องเจอหากเกิดภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลกันค่ะ
สิว
ปัญหาผิวที่เกิดจากร่างกายที่ผลิตน้ำมันมากเกินไป แล้วเกิดการอุดตันของผิวหนังที่ตายแล้วลงไปในรูขุมขน และอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงก็เป็นอีกสาเหตุ ที่ทำให้เกิดสิว จนอาจเกิดปัญหาผิวต่อเนื่อง เช่น สิวอักเสบ รอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว
ความรุนแรงของสิวจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
1.ระดับเริ่มต้น : จะมีสิวไม่อักเสบเป็นส่วนใหญ่ มีสิวอักเสบปนอยู่เล็กน้อย แต่รวมกันไม่เกิน 10 เม็ด
2.ระดับปานกลาง : อาการเหมือนระดับเบื้องต้น แต่มีจำนวนเกิน 10 เม็ด
3.ระดับรุนแรง : มีสิวอักเสบหัวหนองเป็นจำนวนมาก และมักเกิดซ้ำๆ
วิธีการรักษาสิว จะแบ่งตามอาการ
ถ้ายังเป็นสิวระดับเริ่มต้นอาจใช้ยาชนิดทา แต่สำหรับระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้ใช้ยากินร่วมด้วย
บางรายอาจจะใช้ยาคุมกำเนิดร่วมด้วย เพราะในยาคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมน “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอร์โรน” ที่เข้าไปปรับฮอร์โมนแอนโดรเจนให้ลดลง รูขุมขนก็จะเล็กลง และ ความมันบนใบหน้าลดลง ทำให้สิวค่อยๆ ดีขึ้นอีกด้วย
สำหรับยาคุมกำเนิดที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเพื่อการรักษาสิวจะเป็น “ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม” ที่มีตัวยาดรอสไพรีโนน (Drospirenone) เป็นส่วนประกอบ เพราะนอกจากจะมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายตัวการของการเกิดสิว ผิวมัน ยังช่วยต้านการบวมน้ำ ไม่ทำให้อ้วน บวม หรือน้ำหนักขึ้น ทั้งนี้สาวๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญก่อนเลือกใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิวนะคะ เพื่อจะได้เลือกใช้ยาคุมกำเนิดที่เหมาะกับร่างกายของแต่ละคนมากที่สุด
🖱️ ค้นหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาคุมกำเนิดเพื่อการรักษาสิวใกล้บ้าน คลิกที่นี่ www.pharmasis.neversurrender.in.th
🔍 รู้จักวิธีการเลือกยาคุมกำเนิดเบื้องต้นที่นี่ www.neversurrender.in.th/ชวนสาวๆ-มือใหม่หัดคุม/
ฝ้า
ปัญหาผิวที่เกิดจากเม็ดสีผิว (เมลานิน) ทำงานมากเกินไปจากการที่ผิวต้องพบเจอกับแสงแดดที่มากขึ้น สรุปได้ว่ายิ่งเจอแดดมาก ฝ้าก็จะยิ่งมีมากขึ้นนั่นเอง โดยต้นเหตุเกิดจากรังสี UVA ในแสงแดด เข้าไปทำลายผิวในชั้นลึก เพราะช่วงคลื่นของรังสี UVA ยาวกว่ารังสี UVB นั่นเอง
นอกจากแสงแดดแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ อย่างการใช้เครื่องสำอางค์บางชนิด การใช้ยาบางประเภท กรรมพันธุ์ รวมถึง “ฮอร์โมนเพศหญิง” หากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็ส่งผลให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
โดยฝ้าจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
1.ฝ้าแบบตื้น : ลักษณะเป็นสีน้ำตาล ขอบชัด รักษาง่าย มักจะเกิดบนบริเวณผิวชั้นนอก
2.ฝ้าแบบลึก : ลักษณะเป็นสีน้ำตาลอมฟ้า หรือ อมม่วง รักษาค่อนข้างยาก เพราะเกิดบริเวณลึกกว่าผิวชั้นหนังกำพร้า
วิธีการรักษาฝ้า
ส่วนใหญ่การรักษาฝ้าจะเน้นไปเรื่องของการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ AHA, วิตามินซี, อาร์บูติน (Arbutin), หรือส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการแพทย์เช่น เลเซอร์ ฉีดสเต็มเซลล์ เป็นต้น แต่ถึงอย่างไร “การป้องกันคือสิ่งที่ดีที่สุด” ในการรักษาหน้าให้ปราศจากฝ้า ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และ ทาครีมกันแดดที่มี SPF30+ PA+++ ส่วนในผู้ใช้ยาคุมกำเนิดควรเลือกใช้ยาคุมฮอร์โมนต่ำ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาคุมกำเนิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าในภายหลังค่ะ
🖱️ ค้นหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาคุมกำเนิดเพื่อผิวใสไร้ฝ้า คลิกที่นี่ www.pharmasis.neversurrender.in.th
ริ้วรอย
ปัญหาผิวที่เกิดจากโปรตีนที่มีหน้าที่อุ้มน้ำในชั้นหนังแท้ถูกผลิตน้อยลง ทำให้ผิวดูแห้งกร้าน หมองคล้ำ เริ่มมีริ้วรอยมากวนใจ เพราะฮอร์โมน “เอสโตรเจน” และ “โปรเจสเตอร์โรน” ในร่างกายของสาวๆ เสื่อมถอยไปตามไลฟ์สไตล์นั่นเองค่ะ
ริ้วรอยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1.Static line ริ้วรอยทั่วไปที่เกิดจากปัญหาผิวขาดคอลลาเจน
2.Dynamic line ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ซ้ำๆ บ่อยๆ เช่น หัวเราะ ขมวดคิ้ว รอยย่นที่หน้าผากจากการเลิ่กคิ้ว เป็นต้น
3.Wrinkle fold ริ้วรอยที่เกิดจากภาวะผิวหนังหย่อนคล้อย รวมถึงชั้นไขมันที่ลดลงไปตามกาลเวลา
วิธีการดูแลรักษาริ้วรอย
ริ้วรอยเป็นปัญหาผิวที่ต้องแก้ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์แบบต่างๆ ไม่ว่าเป็นเลเซอร์ โบท็อกซ์ และฟิลเลอร์ แต่ก่อนจะต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์เหล่านั้น สาวๆ ควรดูแลตัวเองให้สุขภาพร่างกาย และ ฮอร์โมนทำงานเป็นปกติด้วยวิธีดังนี้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควรเลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม ไม่เบา ไม่หนักเกินไป เช่น การทำคาร์ดิโอ เต้นแอโรบิค หรือ ว่ายน้ำ ครั้งละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
เน้นอาหารจำพวกโปรตีน และ มีไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า เนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดมัน ควบคู่กับการกินผักเป็นประจำ
- อย่าเครียดจนเกินไป
เพราะทุกครั้งที่เครียดร่างกายจะหลั่งสารเคมี ที่อาจส่งผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดูแลรูปร่างไม่ให้อ้วน หรือ ผอมจนเกินไป
เพราะน้ำหนักตัวส่งผลกับฮอร์โมนที่จำเป็นในการตกไข่ หากสาวๆ ปล่อยตัวเองให้อ้วน หรือ ผอมจนเกินไป อาจส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้ค่ะ
- ใช้ยาคุมเพื่อปรับฮอร์โมนในร่างกายให้คงที่ ไม่แปรปรวน ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมกับ PHARMASIS – ร้านยาที่เข้าใจผู้หญิง
🖱️ ค้นหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพผู้หญิง คลิกที่นี่ www.pharmasis.neversurrender.in.th