คำถามเรื่องยาคุมที่พบบ่อย !
คำถามที่พบบ่่อยเกี่ยวกับ "ยาคุมรายเดือน"
เริ่มใช้ยาคุมเป็นแผงแรก มีวิธีกินอย่างไร?
การกินยาคุมกำเนิดแผงแรก หรือเว้นจากการกินยาคุมมานาน มีวิธีกินยาคุมดังนี้
- ให้เริ่มกินยาคุมเม็ดแรกในวันแรกของการมีประจำเดือน แล้วกินยาเม็ดต่อไปตามลูกศร หรืออาจเริ่มกินยาในระหว่างวันที่ 2-5 ของการมีประจำเดือน แต่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดชนิดอื่นร่วมด้วยในช่วง 7 วันแรกของการกินยาคุมแผงแรก
- แนะนำให้กินยาคุมในช่วงก่อนนอน และควรกินยาในเวลาใกล้เคียงกันในแต่ละวัน
กินยาคุมไม่ตรงเวลา เสี่ยงท้องหรือไม่?
‘หากกินยาคุมไม่ตรงเวลา แต่ยังกินยาครบติดต่อกันทุกวัน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้
- หากกินยาคุมเม็ดที่มีฮอร์โมนช้ากว่าเวลาปกติที่กินไม่เกิน 12 ชั่วโมง ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดยังคงเหมือนเดิม
- หากกินยาคุมเม็ดที่มีฮอร์โมนช้ากว่าเวลาปกติที่กินมากกว่า 12 ชั่วโมง ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดอาจลดลง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์สูงยิ่งขึ้น
ดังนั้นจึงแนะนำให้กินยาคุมในเวลาเดิมสม่ำเสมอก็เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์
เริ่มกินยาคุมได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่? และกินได้จนถึงอายุเท่าไหร่?
หากเริ่มมีประจำเดือนก็สามารถเริ่มกินยาคุมกำเนิดได้เลย ปัจจุบันยังไม่มีข้อจำกัดที่แน่นอนในเรื่องของอายุสูงสุดที่สามารถกินยาคุมได้ อย่างไรก็ตามในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี หรืออายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน เช่น น้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ หรือมีโรคประจำตัว (โรคไมเกรน, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ) แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาคุม
ในกรณีที่ลืมกินยาคุม ควรทำอย่างไร?
หากลืมกินยาคุมเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมน (เม็ดแป้ง)
จะไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการคุมกำเนิดของยาคุม ให้ทิ้งเม็ดแป้งที่ลืมกินไป และกินยาเม็ดต่อไปในเวลาปกติได้เลย
หากลืมกินยาคุมเม็ดที่มีฮอร์โมน 1 เม็ด
ให้รีบกินยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ (แม้ว่าอาจต้องกินยา 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียว) และกินยาเม็ดต่อไปในเวลาปกติ
หากลืมกินยาคุมเม็ดที่มีฮอร์โมน 2 เม็ดขึ้นไป
– ให้ทิ้งเม็ดยาก่อนหน้า และรีบกินเม็ดยาที่ลืมล่าสุดทันทีที่นึกได้ (แม้ว่าอาจต้องกินยา 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียว) และกินยาเม็ดต่อไปในเวลาปกติ อีกทั้งแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมนาน 7 วัน
– หากเม็ดยาที่ลืมกินเป็น 7 เม็ดสุดท้าย
ยาคุมแบบ 21 เม็ด : กินยาหมดแผงแล้วเริ่มแผงใหม่ทันที ไม่ต้องเว้น 7 วัน
ยาคุมแบบ 28 เม็ด : ทิ้ง 7 เม็ดสุดท้ายและกินยาแผงใหม่ในวันถัดไป
หากกินยาคุมแล้วท้องเสีย ควรทำอย่างไร?
โดยทั่วไปร่างกายผู้หญิงจะตอบสนองต่อยาคุมกำเนิดแต่ละตัวแตกต่างกันไป หากไม่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมาก่อนหรือกังวลเรื่องผลข้างเคียง ควรใช้ยาคุมฮอร์โมนรวมชนิดฮอร์โมนต่ำที่มีฮอร์โมนเอทินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol หรือ EE) 0.015 – 0.02 mg ซึ่งสามารถดูได้ที่บนกล่องยา
หากกินยาคุมแล้วอาเจียน ควรทำอย่างไร?
- หากอาเจียนภายใน 3-4 ชั่วโมง หลังจากกินยาคุมเม็ดที่มีฮอร์โมน ให้กินยาเม็ดใหม่ทันที และกินเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ เพื่อป้องกันการสับสน ให้เตรียมยาคุมแผงสำรองแบบเดียวกันไว้
- หากอาเจียนหลังกินยาคุมเม็ดที่ไม่มีฮอร์โมน (เม็ดแป้ง) จะไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการคุมกำเนิดของยาคุม
กินยาคุมครั้งแรก ควรเลือกยาคุมแบบไหน?
โดยทั่วไปร่างกายผู้หญิงจะตอบสนองต่อยาคุมกำเนิดแต่ละตัวแตกต่างกันไป หากไม่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมาก่อนหรือกังวลเรื่องผลข้างเคียง ควรใช้ยาคุมฮอร์โมนรวมชนิดฮอร์โมนต่ำที่มีฮอร์โมนเอทินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol หรือ EE) 0.015 – 0.02 mg ซึ่งสามารถดูได้ที่บนกล่องยา
ให้นมลูกกินยาคุมได้ไหม?
สามารถกินยาคุมได้เฉพาะบางสูตรเท่านั้น ตามหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำแม่ให้นมบุตรตั้งแต่หลังคลอด 6 สัปดาห์ ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวโดยสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีข้อห้ามใดๆ
ปัจจุบันมียาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวสูตรใหม่ ที่ประกอบด้วยตัวยาดรอสไพรีโนน แบบ 24+4 ที่มีเม็ดยา 24 เม็ด และเม็ดแป้ง 4 เม็ด จึงควบคุมรอบเดือนได้กว่ายาคุมฮอร์โมนเดี่ยวสูตรเดิม อีกทั้งยังลดปัญหาเลือดออกกะปริดกะปรอยได้อีกด้วย
เป็นไมเกรนกินยาคุมได้ไหม?
ตามหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำผู้ที่ปวดหัวไมเกรนใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวโดยสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีข้อห้ามใดๆ เนื่องจากเป็นยาคุมที่ปราศจากฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงไม่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว
ปัจจุบันมียาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวสูตรใหม่ ที่ประกอบด้วย ตัวยาดรอสไพรีโนน แบบ 24+4 ที่มีเม็ดยา 24 เม็ด และเม็ดแป้ง 4 เม็ด จึงควบคุมรอบเดือนได้กว่ายาคุมฮอร์โมนเดี่ยวสูตรเดิม อีกทั้งยังลดปัญหาเลือดออกกะปริดกะปรอยได้อีกด้วย
มีโรคประจำตัวสามารถกินยาคุมได้ไหม?
ผู้หญิงที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เช่น โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น ตามหลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดขององค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำกินยาคุมได้เฉพาะบางสูตรเท่านั้น โดยแนะนำเป็นยาคุมกำเนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่ปราศจากฮอร์โมนเอสโตรเจน
ปัจจุบันมียาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวสูตรใหม่ ที่ประกอบด้วยตัวยาดรอสไพรีโนน แบบ 24+4 ที่มีเม็ดยา 24 เม็ด และเม็ดแป้ง 4 เม็ด จึงควบคุมรอบเดือนได้กว่ายาคุมฮอร์โมนเดี่ยวสูตรเดิม อีกทั้งยังลดปัญหาเลือดออกกะปริดกะปรอยได้อีกด้วย
ยาคุมไม่ควรกินคู่กับอะไร? เพื่อไม่ลดประสิทธิภาพการคุมกำเนิด
ยาบางชนิดเมื่อกินคู่กับยาคุมกำเนิดจะสามารถลดการทำงานของยาเม็ดคุมกำเนิดได้ ได้แก่
1.กลุ่มยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) หรือยาฆ่าเชื้อรา
– ยากลุ่มเพนนิซิลลิน (Penicillins) เช่น แอมพิซิลิน (Ampicillin), อะม็อกซิซิลลิน (Amoxicillin), ไดคล็อกซาซิลลิน (Dicloxacillin)
– ยากลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracyclines) เช่น เตตราไซคลีน (Tetracycline), ด็อกซีไซคลีน (Doxycycline), ออกซีเตตราไซคลีน (Oxytetracycline)
– ยาฆ่าเชื้อราคีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
2. กลุ่มยารักษาโรคลมชัก เช่น เฟนนายโตอิน (Phenytoin),คาร์บามาซีพีน (Carbamazepine),โทไพราเมท (Topiramate)
3.กลุ่มยารักษาวัณโรค เช่น ไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
4.กลุ่มยารักษาโรค HIV เช่น ริโทนาเวียร์ (Ritonavir), เนวิราพีน (Nevirapine)
หากจำเป็นต้องกินยา แนะนำให้ปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติมและเพิ่มการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใส่ถุงยางอนามัยร่วมด้วยตลอดช่วงที่กินยาฆ่าเชื้อไปจนถึง 7 วันหลังหยุดใช้ยา
ยาคุมแบบไหนที่ปลอดภัย อาการข้างเคียงน้อย
โดยทั่วไปร่างกายผู้หญิงจะตอบสนองต่อยาคุมแต่ละตัวแตกต่างกันไป ดังนั้นอาการข้างเคียงของการกินยาคุมก็จะขึ้นผู้หญิงแต่ละคน ในทางทฤษฎีอาการข้างเคียงจากการกินยาคุมกำเนิดมักมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเอทินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol หรือ EE) ซึ่งยิ่งมีปริมาณฮอร์โมนสูง อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนสูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นการใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเอทินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol หรือ EE) ต่ำเพียง 15 mcg ก็จะมีความปลอดภัยและมีอาการข้างเคียงน้อยลง
นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่สามารถใช้ได้อย่างไม่มีข้อห้ามในผู้ที่มีโรคประจำตัว (โรคไมเกรน, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ) อีกทั้งยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวนั้นปราศจากฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว และไม่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนอีกด้วย
ยาคุมแบบไหนที่รักษาสิวฮอร์โมน ไม่ทำให้อ้วน น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปร่างกายผู้หญิงจะตอบสนองต่อยาคุมแต่ละตัวแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากไม่เคยใช้ยาคุมมาก่อนหรือเคยใช้แล้วอ้วนหรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น แนะนำให้เลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ที่ประกอบด้วยตัวยาดรอสไพรีโนน ซึ่งเป็นโปรเจสตินรุ่นใหม่ที่มี 2 ฤทธิ์สำคัญ ได้แก่
1. มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวฮอร์โมน จึงช่วยลดสิว ลดความมันบนใบหน้า
2. มีฤทธิ์ต้านการบวมน้ำ ไม่ทำให้อ้วน ตัวไม่บวม น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น
ก่อนเริ่มใช้ยาคุมทุกครั้งแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้ได้ยาที่เหมาะสมกับตัวเอง
ยาคุมแบบไหนที่รักษาอาการปวดท้องประจำเดือน สิวฮอร์โมน อารมณ์แปรปรวนช่วงก่อนมีประจำเดือน
อาการปวดท้องประจำเดือน สิวฮอร์โมน อารมณ์แปรปรวนช่วงก่อนมีประจำเดือน เป็นกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) จึงแนะนำให้เลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมสูตร 24+4 ที่ประกอบด้วยเม็ดยาฮอร์โมน 24 เม็ด และเป็นเม็ดแป้ง 4 เม็ด ซึ่งยาคุมสูตรนี้จะช่วยลดความแปรปรวนไม่คงที่ของฮอร์โมนในร่างกาย จึงช่วยรักษากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) รวมถึงรักษากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนขั้นรุนแรง (PMDD) ได้อีกด้วย ก่อนเริ่มใช้ยาคุมทุกครั้งแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้ได้ยาที่เหมาะสมกับตัวเอง
กินยาคุมแล้วประจำเดือนมาน้อยลง ผิดปกติไหม?
ไม่ผิดปกติ การกินยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวหรือยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมที่มีฮอร์โมนต่ำ (มีปริมาณฮอร์โมนเอทินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol หรือ EE) 0.015 – 0.03 mg อาจจะส่งผลให้ผู้หญิงมีประจำเดือนมาลดลง แต่ควบคุมรอบประจำเดือนได้ดีมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามในผู้หญิงที่มีประจำเดือนในปริมาณมาก หลังจากที่กินยาคุมกำเนิดก็จะทำให้มีปริมาณประจำเดือนที่น้อยลง อีกทั้งยังมาน้อยวันลงอีกด้วย รวมทั้งทำให้อาการปวดท้องประจำเดือนลดลง ซึ่งจะช่วยให้ผู้หญิงได้ประโยชน์ดังนี้
- ควบคุมรอบประจำเดือนได้ดีขึ้น
- ปวดท้องประจำเดือนลดลง
- มีปริมาณประจำเดือนในแต่ละเดือนเหมาะสม ส่งผลดีต่อร่างกายไม่อ่อนเพลียจากการเสียเลือด
กินยาคุมแล้วมีเลือดออกกะปริดกะปรอย ผิดปกติไหม?
ไม่ผิดปกติ การที่เกิดเลือดออกกะปริดกะปรอยมีมาจากหลายสาเหตุซึ่งไม่ได้ส่งผลอันตรายใดใดกับร่างกาย
สาเหตุแรก : มักเกิดในช่วง 1-3 เดือนแรกของการกินยาคุม ซึ่งจะเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังปรับฮอร์โมนในกระแสเลือดจึงอาจมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ ซึ่งเมื่อมีการกินยาคุมต่อเนื่องไปอาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้น
สาเหตุที่สอง : การกินยาคุมฮอร์โมนรวมชนิดฮอร์โมนต่ำมากที่มีปริมาณฮอร์โมนเอทินิลเอสตราไดออล (Ethinylestradiol หรือ EE) เพียง 15 mcg แม้จะมีอาการข้างเคียงเรื่องอาการเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียนน้อย แต่อาจพบเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ในช่วง 3 เดือนแรกที่เริ่มกินยา แต่อาการจะดีขึ้นหากกินยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
กินยาคุมเพื่อปรับฮอร์โมนได้ไหม?
ยาคุมสามารถกินเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนในผู้หญิงได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีสิวฮอร์โมน, รอบเดือนมาไม่ปกติ, ปวดท้องประจำเดือน, อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น โดยแนะนำให้เลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมสูตร 24+4 ที่ประกอบด้วยเม็ดยาฮอร์โมน 24 เม็ด และเป็นเม็ดแป้ง 4 เม็ด ซึ่งยาคุมสูตรนี้จะช่วยลดความแปรปรวนไม่คงที่ของฮอร์โมนในร่างกาย ที่สำคัญก่อนเริ่มใช้ยาคุมทุกครั้งแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้ได้ยาที่เหมาะสมกับตัวเอง
หยุดกินยาคุมแล้วสิวกลับมาขึ้นเหมือนเดิมไหม?
สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากสาเหตุของการเกิดสิวในผู้หญิงกลุ่มนี้มีสาเหตุจากการที่ระดับฮอร์โมนเพศชายสูง ทำให้เกิดสิว ผิวมัน ขนดกเกิดขึ้นได้ ซึ่งยาคุมกำเนิดจะช่วยลดฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ลดปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นได้
เมื่อหยุดกินยาคุมกำเนิด ทำให้ความสมดุลของฮอร์โมนอาจจะลดลง จึงทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายกลับมาสูงอีกครั้ง ดังนั้นอาการสิว ผิวมัน ขนดก จึงสามารถกลับมาได้
หยุดกินยาคุมแล้วจะปวดท้องประจำเดือนเหมือนเดิมไหม?
เมื่อหยุดกินยาคุมแล้วจะมีโอกาสกลับมาปวดท้องประจำเดือนเหมือนเดิมได้ โดยเฉพาะถ้าก่อนกินยาคุมเคยมีอาการปวดมาก่อน เนื่องจากยาคุมช่วยปรับฮอร์โมน ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ส่งผลให้อาการปวดประจำเดือนน้อยลง
ดังนั้นพอหยุดกินยาคุม อาจจะทำให้ฮอร์โมนกลับไปเหมือนเดิม ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นและมีอาการปวดท้องประจำเดือนเหมือนเดิมได้
คำถามที่พบบ่่อยเกี่ยวกับ "ยาคุมฉุกเฉิน"
ควรเลือกกินยาคุมฉุกเฉินแบบไหน?
แนะนำให้เลือกใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดเม็ดเดียว เนื่องจากกินสะดวก ลดโอกาสลืมกินยาเม็ดที่สอง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจในประสิทธิภาพของยา ควรเลือกสูตรที่พัฒนามาจากยุโรป ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงถึง 97.4% เมื่อใช้ยาอย่างถูกต้อง
วิธีการกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้อง
ควรกินยาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังจากมีเพศสัมพันธ์ หรือภายใน 12 ชม. และไม่เกิน 72 ชม. โดยยาคุมฉุกเฉินมี 2 ชนิด คือ
- ชนิด 1 เม็ด (มีตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) 1.5 มิลลิกรัมต่อเม็ด) กินยาเพียงเม็ดเดียว กินครั้งเดียวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 12 ชั่วโมง และไม่เกิน 72 ชั่วโมง
- ชนิด 2 เม็ด (มีตัวยาเลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) 0.75 มิลลิกรัมต่อเม็ด) ให้กินยาเม็ดที่ 1 ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่เกิน 72 ชั่วโมง และกินยาเม็ดที่ 2 หลังจากที่กินยาเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง
หลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ควรกินยาคุมฉุกเฉินภายในกี่ชั่วโมง?
แนะนำให้กินยาคุมฉุกเฉินชนิดเม็ดเดียวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 12 ชั่วโมง และไม่เกิน 72 ชั่วโมง ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีการป้องกันการตั้งครรภ์ ทั้งนี้ควรเลือกที่เป็นสูตรพัฒนามาจากยุโรป เพื่อความมั่นใจในประสิทธิภาพและคุณภาพของยา
ยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด แตกต่างจากยาคุมฉุกเฉินชนิด 2 เม็ดอย่างไร?
การกินยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ดจึงมีความสะดวกมากกว่า และยังช่วยลดโอกาสการลืมกินยาเม็ดที่ 2 ได้ เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด กินยาเพียงเม็ดเดียว กินครั้งเดียวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 12 ชั่วโมง และไม่เกิน 72 ชั่วโมง ซึ่งต่างจากยาคุมฉุกเฉินชนิด 2 เม็ด โดยให้กินยาเม็ดที่ 1 ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่เกิน 72 ชั่วโมง และกินยาเม็ดที่ 2 หลังจากที่กินยาเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง
หลังกินยาคุมฉุกเฉินแล้ว มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันอีก ต้องกินยาคุมฉุกเฉินอีกหรือไม่?
หลังกินยาคุมฉุกเฉินแล้ว หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันอีก สามารถกินยาคุมฉุกเฉินได้อีกครั้ง เพราะยาคุมฉุกเฉินจากการกินครั้งก่อน ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้
แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ายาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดต่อเนื่องนานเท่าไหร่หลังจากรับประทานยา ดังนั้นจึงมีคำแนะนำดังนี้
1. แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หากมีเพศสัมพันธ์ภายหลังจากที่กินยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว
2. ไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้ง/เดือน และไม่แนะนำให้กินยาคุมฉุกเฉินซ้ำภายในระยะเวลาใกล้กัน เพราะอาจเพิ่มอาการข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ หรือฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน เป็นต้น
3. ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันบ่อยครั้ง ควรเปลี่ยนมาใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรายเดือน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันได้ดีกว่าและผลข้างเคียงน้อยกว่า
กินยาคุมฉุกเฉินแล้วมีอาการข้างเคียงไหม?
ในบางคนหลังกินยาคุมฉุกเฉินอาจทำให้มีอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ปวดหัว อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาล่าช้า เป็นต้น
ยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด มีอาการข้างเคียงมากกว่ายาคุมฉุกเฉินชนิด 2 เม็ดหรือไม่?
จากการศึกษาถึงอาการข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินทั้ง 2 ชนิด พบว่ามีอาการข้างเคียงไม่แตกต่างกัน จึงสามารถใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด ทดแทนยาคุมฉุกเฉินชนิด 2 เม็ดได้เลย
กินยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ดแล้วอาเจียน ควรทำอย่างไร?
หากเกิดการอาเจียนภายใน 3 ชั่วโมง หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด ให้กินซ้ำอีก 1 เม็ดทันที แต่ถ้ามีการอาเจียนหลังผ่านไปเกิน 3 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องกินซ้ำอีก
หลังกินยาคุมฉุกเฉินแล้วประจำเดือนไม่มา เสี่ยงท้องหรือไม่?
การกินยาคุมฉุกเฉินอาจมีผลทำให้ประจำเดือนมาคลาดเคลื่อนได้ 1-5 วันเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ถ้าหากเลยกำหนดไปมากกว่า 7 วัน ควรตรวจการตั้งครรภ์เพื่อความแน่ใจ แต่สำหรับยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ดที่เป็นยาคุณภาพ นำเข้าจากสเปน มาตรฐานยุโรปนั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงถึง 97.4% เมื่อกินยาอย่างถูกวิธี
หลังกินยาคุมฉุกเฉิน แล้วมีอาการตกขาว แบบนี้ปกติหรือไม่?
หากกินยาคุมฉุกเฉินแล้วมีอาการตกขาว ถือว่าเป็นอาการที่สามารถพบได้และมักจะไม่อันตราย ซึ่งตกขาวที่ “ปกติ” หลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน อาจทำให้ตกขาวมีลักษณะสีใส ขุ่น หรือขาวนวล ไม่มีกลิ่นเหม็น และไม่มีอาการคัน แสบ หรือเจ็บร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายหลังใช้ยา ที่อาจกระตุ้นให้มีตกขาวมากขึ้นชั่วคราว แต่ถ้าตกขาวที่ “ผิดปกติ” ร่วมกับมีอาการคัน แสบ มีกลิ่นเหม็น ควรปรึกษาเภสัชกรร้านยาหรือพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไป
ห้ามกินยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้งในชีวิตจริงไหม?
ไม่เป็นความจริง แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรกินยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้งต่อเดือน เนื่องจากหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยา หากมีความจำเป็นต้องกินมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน จะปลอดภัยและมีประสิทธิผลในการคุมกำเนิดมากกว่า
กินยาคุมฉุกเฉินแล้ว ทำให้ท้องนอกมดลูกจริงไหม?
ไม่เป็นความจริง การกินยาคุมฉุกเฉินไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการท้องนอกมดลูก ข้อมูลจากการศึกษาพบว่าผู้ที่ไม่เคยกินยาคุมกำเนิดใดๆ มีโอกาสเกิดการท้องนอกมดลูกได้ไม่ต่างจากผู้ที่กินยาคุมฉุกเฉิน อย่างไรก็ตามก็ควรระมัดระวังในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน รวมถึงกินให้ถูกวิธีตามเอกสารกำกับยาหรือตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ