หน้า 7 หลัง 7 นับแบบนี้ไม่ท้องจริงหรือ ?
เชื่อว่าสาวๆ หลายคนใช้วิธีนับ “หน้า 7 หลัง 7” เป็นหนึ่งในวิธีคุมกำเนิดตามธรรมชาติที่สาวๆ หลายคนใช้กัน แล้วจะปลอดภัยอย่างที่ว่าจริงหรือเปล่า มาไขข้อสงสัยไปพร้อมๆ กันเลย
วิธีการนับหน้า 7 หลัง 7
การนับระยะปลอดภัยเพื่อคุมกำเนิดโดยใช้วิธีการนับแบบหน้า 7 หลัง 7 นั้น จะใช้วิธีการนับวัน (และการกำหนดระยะเวลาเจริญพันธุ์ โดยวิธีนับระยะปลอดภัยต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจช่วงรอบเดือนของการตกไข่ก่อน แต่ละคนจะมีจำนวนช่วงรอบเดือนที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้ว มักมีช่วงรอบเดือนอยู่ที่ 28-32 วัน ซึ่งระยะเวลาของช่วงรอบเดือนมีรายละเอียด ดังนี้
- วันที่ 1 ช่วงรอบเดือนจะเริ่มขึ้นเมื่อประจำเดือนมาวันแรก
- วันที่ 7 ร่างกายเริ่มผลิตไข่เพื่อพร้อมรับการปฏิสนธิ
- ระหว่างวันที่ 11-21 ระยะนี้คือช่วงตกไข่ หากไข่ได้รับการปฏิสนธิ ก็จะเจริญเป็นตัวอ่อนภายในมดลูก อย่างไรก็ตาม ช่วงระยะเวลาตกไข่ที่กล่าวมานี้ ถือเป็นช่วงตกไข่สำหรับผู้ที่มีรอบเดือน 28 วัน
- วันที่ 28 กรณีที่ไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิจากอสุจิ จะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนลดลง เยื่อบุมดลูกสลายตัวและกลายเป็นเลือดประจำเดือน
ทั้งนี้ ช่วงรอบเดือนก่อนไข่ตกของผู้หญิงแต่ละคนจะแตกต่างกัน และอาจคลาดเคลื่อนทุกเดือน
ข้อดีของการคุมกำเนิดด้วยวิธีหน้า 7 หลัง 7
- ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
- ไม่เสียค่าใช้จ่าย
- สามารถหยุดได้ง่ายทันทีในกรณีที่ต้องการตั้งครรภ์
ข้อเสียของการคุมกำเนิดด้วยวิธีหน้า 7 หลัง 7
- ประสิทธิภาพน้อยกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
- เสี่ยงตั้งครรภ์ ไม่พร้อมสำหรับผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการนับ และให้ความร่วมมือในการใช้วิธีดังกล่าวเพื่อคุมกำเนิด
- จำเป็นต้องบันทึกช่วงรอบเดือนให้แม่นยำอย่างสม่ำเสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดก็เป็นอีกวิธีที่คุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำ การรับประทานยาคุมสูตรฮอร์โมนต่ำ แบบ 24+4 เม็ด ที่นอกจากจะช่วยคุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังช่วยลดอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดท้องก่อนมีประจำเดือน พุงป่อง คัดตึงหน้าอก เป็นสิว หงุดหงิด เหวี่ยงวีน อารมณ์แปรปรวน โดยไม่ทำให้สาวๆ อ้วนบวม หรือน้ำหนักขึ้น อีกด้วยนะคะ